ในยามที่เราได้ ท้อแท้ ลำบาก ย่อท้อต่อชีวิต “แรงบัลบาลใจ” นี้เหละที่จะเยียวยาได้ การเปิดรับเรื่องราวดีๆ ของคนทีมีความหลัง จากฐานะ ย า กจ น บ้ า น ไ ม่ ร ว ย ต้นทุนทางสังคมไม่สูง แต่มานะบากบั่นเปลี่ยนความเจ็บปวดในวัยเด็กให้กลายเป็นแรงผลักดันจนประส บคว ามสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้คุณมีกำลังใจที่จะต่อสู้ปัญหาและประสบความสำเร็จในอนาคตได้
วันนี้ทางเกษตรก้าวหน้า เลยหยิบเรื่องราวดีๆ ของ 10 บุคคลที่คุณควรเอาตัวเป็นตัวอย่าง เพื่อเอาไว้สู้กับ อุปสรรคได้ ส่วนตัวเกษตรก้าวหน้า ก็เคยเป็นคนที่ต้นทุนทางสังคมไม่สูง บ้านจน สมัยเด็กผมได้แต่นั่งตีอกชกลมว่าทำไมเราถึงบ้านไม่รวย ไม่สบายเหมือนคนอื่นเค้าผมได้เปลี่ยนสิ่งนั้นจากปมด้อยกลับมาเป็นปมเด่น เอามันมาเป็นแรงบันดาลใจ ผมได้อ่านประวัติของบุคคลหลายๆ ท่านที่ผมเอามาแชร์นี้ ทำให้ผมได้พบความลับของมหาเศรษฐีระดับโลกหลายๆ ท่าน กว่าจะประสบความสำเร็จเหมือนทุกวันนี้ได้ เค้าผ่านอะไรมามากมายและแทบไม่ต่างกับชีวิตผมสมัยก่อน จึงขอเอามาเล่าให้คุณฟังกันครับ
1) ตัน ภาสกรนที – Ichitan CEO
คุณตันแห่งอิชิตัน ผมรู้ดีว่าคงไม่มีใครในประเทศนี้ไม่รู้จักคุณตัน เจ้าของธุรกิจชาเขียวระดับชาติผมเคยอ่านหนังสือคุณตัน “วิถี (ไม่) ตัน” คุณตันได้เล่าถึงชีวิตในวัยเด็กตั้งแต่สมัยทำงานกับชีวิตที่ต้องฝ่าฟัน คุณตันเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน การศึกษาไม่สูง เรียนหนังสือไม่เก่ง รูปไม่หล่อ ไม่ได้มีปริญญาด้านการตลาดใดๆ มาการันตีจากธุรกิจกิฟช็อป ขายหนังสือ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร เวดดิ้งสตูดิโอ ไปจนถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และจับธุรกิจชาเขียวจนเป็นที่เลื่องลือของประเทศไทย
![](https://readykids.info/wp-content/uploads/2021/04/750x422_847261_1568522245.jpg)
ความลับที่นำพาคุณตันมาจนถึงทุกวันนี้คือความเชื่อมั่น ความวิริยะอุตสาหะ วินัย ไขว่คว้าหาโอกาสอยู่เสมอ และที่ขาดไม่ได้เลยคือ “ทักษะการขายและการตลาด” ซึ่งผมเชื่อว่านักขายทุกคนควรยึดถือคุณตันไว้เป็นแบบอย่าง ชีวิตคุณดีขึ้นแน่นอนครับ
2) Roman Abramovich – Chairman of Chelsea Football Club
ใครที่ชื่นชอบฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษคงไม่มีใครไม่รู้จักประธานสโมสรเชลซี ทีมชั้นนำระดับโลกของอังกฤษ ซึ่งชื่อของเขาผู้นั้นที่มักจะปรบมือให้ลูกทีมยามเล่นในบ้านเป็นประจำนั่นคือ “โรมัน อบราโมวิช”เขาเติบโตมาอย่างเด็กกำพร้า โดยที่แม่ของเขาเสียชีวิตจากอาการโลหิตเป็นพิษ เป็นผลมาจากการทำแท้งเถื่อน ซึ่งตอนนั้นโรมันมีอายุได้เพียงขวบเดียว พ่อของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในสถานที่ก่อสร้างในขณะที่โรมันอายุได้ 3 ขวบ โรมันเติบโตมากับครอบครัวของลุงก่อนที่จะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในกองทัพโซเวียต หลังจากการรับรัฐการทหาร เขาได้เข้ารับการศึกษาในช่วงเวลาสั้นๆที่สถาบันการขนส่งยานยนต์แห่งมอสโค (Moscow State Auto Transport Institute)
![](https://readykids.info/wp-content/uploads/2021/04/Abramovich_Chukotka_cropped.jpg)
ก่อนที่จะเลิกเรียนเพื่อไปทำธุรกิจซึ่งชะตาชีวิตพลิกผันเมื่อเขาจับธุรกิจค้าน้ำมันในบริษัทซิบเนฟท์ โดยเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จากความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลรัสเซียตอนนี้เขาเป็นมหาเศรษฐีน้ำมันชาวรัสเซียและเป็นเจ้าของหลักของบริษัทลงทุนเอกชน บริษัทมิลล์เฮาส์ แคปปิทัล เขาถูกขนานนามว่าเป็น Russian oligarchs (คนที่ร่ำรวยมากหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต)
ใครจะเชื่อว่าบุคคลระหว่างยุคสหภาพโซเวียตล่มสลาย กลายเป็นประเทศที่ไม่มีอำนาจใดๆ ในช่วงนั้น บ้านแตกสาแหรกขาด มีแต่ความยากจน จะสร้างความสำเร็จโดยอาศัยคอนเน็กชั่นที่ยอดเยี่ยม ไม่ได้มีต้นทุนทางสังคมใดๆ ไม่ได้เกิดมารวยหรือเป็นคนชั้นสูง แต่สร้างคอนเน็กชั่นกับบุคคลระดับสูงและนำความสำเร็จมาสู่ตัวเองได้ถึงขนาดนี้
3) J.K.Rowling – Author of Harry Potter
ใครจะเชื่อว่าผู้ที่ให้กำเนิดนวนิยายระดับโลก จนถูกสร้างเป็นหนังถึง 8 ภาค “แฮรี่ พอตเตอร์” เป็นฝรั่งผิวขาวชาวอังกฤษ ซึ่งดูเผินๆ เหมือนกับฝรั่งทั่วไปที่ดูดี น่าจะชีวิตที่มีคุณภาพตามแบบฉบับเมืองผู้ดีอังกฤษเธอมีชีวิตที่ยากลำบากมาโดยตลอด ต้องหย่ากับสามี มีชีวิตการแต่งงานที่เลวร้ายและกลายมาเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว มีช่วงชีวิตที่เป็นโรคซึมเศร้า
![](https://readykids.info/wp-content/uploads/2021/04/Iomha_J.K._Rowling.jpg)
ระหว่างนั้นเธอกลายเป็นคนว่างงาน ต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพังอยู่ในแฟลทรังหนูด้วยเช็คสังคมสงเคราะห์ ทำให้เธอต้องพาลูกมาเลี้ยงที่ร้านกาแฟของน้องเขยทุกวัน เธอใช้เวลาว่างในการแต่งหนังสือของเธอจนจบ
เธอเสนอผลงานให้กับหลายสำนักพิมพ์แต่ไม่มีสำนักพิมพ์ใดเลยที่สนใจผลงาน เธอก็ไม่ย่อท้อ แต่กลับเชื่อมั่นว่า แฮรี่ พอตเตอร์ จะต้องเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆทั่วโลกในที่สุดสำนักพิมพ์ล่าสุดก็รับพิมพ์หนังสือของเธอโดยให้ค่าลิขสิทธ์ก้อนแรก หลังจากนั้นไม่นานคนทั้งโลกก็ได้รู้จักกับปรากฏการณ์แฮรี่ฟีเวอร์!! จนได้นำไปทำเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้คนหลงใหลไปทั่วโลก!!ปัจจุบันเธอมีทรัพย์สินร่วม 2,000 ล้านบาท ขึ้นทำเนียบบุคคลรวยที่สุดอันดับ 122 ของอังกฤษ!
4) Chris Gardner – The Pursuit of Happiness
เคยดูหนังเรื่อง “The Pursuit of Happiness” ที่เล่นโดยวิลล์ สมิธ มั้ยครับ หนังที่ทำให้ลูกผู้ชายสามารถเสียน้ำตาไปกับชะตาชีวิตของ “คริส การ์ดเนอร์” ซึ่งเป็นหนังที่สร้างจากชีวิตจริงของเขาพิเศษสำหรับนักขายและนักเลงหุ้นทุกคน โปรดอย่าพลาดดูหนังจากชีวิตของเขาเป็นอันขาดนะครับ เรื่องราวของคริส การ์ดเนอร์ สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้เป็นอย่างดี
จากอดีตเซลล์แมน (ซึ่งลงทุนซื้อของมาขายเองอีกต่างหาก) ที่ฐานะยากจน มีปัญหาครอบครัว เมียทิ้ง ต้องเลี้ยงลูกชายคนเดียวโดยอาศัยที่พักเพื่อคนด้อยโอกาสซึ่งฟรี พบกับสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ ต้องเปลี่ยนที่ซุกหัวนอนไปวันๆ แย่สุดคืออาศัยห้องน้ำของสถานีรถไฟใต้ดิน สะท้อนความเจ็บปวดในเรื่องของความยากจนได้เป็นอย่างดีระหว่างที่คริส การ์ดเนอร์ยังเป็นเซลล์แมนขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ซึ่งขายยาก เขาได้ถามคนที่ขับรถสปอร์ตว่า
![](https://readykids.info/wp-content/uploads/2021/04/unnamed.jpg)
“ทำอย่างไรผมถึงจะชีวิตที่มีความสุขเหมือนคุณบ้าง” เขาได้รับคำตอบมาว่า “ก็ทำงานเป็น Stock Broker (นายหน้าค้าหุ้น) ไงเพื่อน”
เขาได้ไปสมัครงานเป็นนายหน้าค้าหุ้นซึ่งต้องเข้ารับโปรแกรมฝึกหัดโดยไม่ได้รับค่าจ้างเป็นเวลา 6 เดือน แถมหลังจบหลักสูตรจะรับเป็นพนักงานประจำแค่คนเดียวอีกต่างหาก เขาได้ใช้ความวิริยะอุตสาหะทุ่มเททั้งการเรียน การดูแลลูกและยังต้องขายของทำทุกวัน ทำซ้ำๆ ไม่ว่าจะเหนื่อยซักแค่ไหนเขาก็ไม่ยอมแพ้คริสได้รับเลือกให้เป็นโบรกเกอร์มืออาชีพ จากความรู้และประสบการณ์ที่เขาทำ ได้สร้างเนื้อสร้างตัวจนเปิดบริษัทโบรกเกอร์ของตัวเอง “Gardner Rich & Co” และทำเงินให้เขาหลายล้านดอลลาร์ กลายเป็นมหาเศรษฐีและเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจในปัจจุบันนี้
5) Howard Schultz – Founder of Starbucks
นี่คือกาแฟที่ผมซื้อ “Hot Americano Size Tall ” กินทุกวัน ขาดมันไม่ได้ วันไหนไม่กินกาแฟร้านเขียวที่ชื่อ “Starbucks” ผมจะทำงานไม่ได้เรื่องทันทีเคยได้แต่นั่งสงสัยว่าใครนะ เป็นเจ้าของสตาร์บั้คส์ ร้านกาแฟที่เปิดใหม่ที่ไหนก็มีแต่คนกินพอๆ กับแมคโดนัลด์เลย เจ้าของต้องรวยมากแน่ๆ เลย ใครจะรู้ว่าประวัติของเขาก็มีเบื้องหลังที่มาจากคนสู้ชีวิตมาก่อน
ฮาวเวิร์ด ชูลท์ซ เกิดในย่านบรูคลิน นิวยอร์ค เมื่อปี 1953 และเติบโตในย่านเบย์ วิว อยู่ในย่านสำหรับผู้มีรายได้น้อย ในวัยเด็ก พ่อแม่ของเขาทำงานรับจ้างรายวันและต้องใช้ชีวิตอย่างขัดสน หลังจากที่พ่อของเขาข้อเท้าแตกจนไม่อาจทำงานขับรถส่งของได้อีกต่อไป ด้วยภาวะที่ไม่มีประกันสุขภาพหรือสวัสดิการคุ้มครองใดๆ ครอบครัวของเขาจึงมีรายได้เพียงพอแค่ซื้ออาหารประทังชีวิตไปวันๆ เท่านั้น
![](https://readykids.info/wp-content/uploads/2021/04/image_big_5c585408a6db5.jpg)
ในระหว่างเรียนเขาทำงานเป็นพนักงานขายที่ซีร็อกซ์ คอร์ปอเรชั่น จุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวเข้ามาสู่ธุรกิจ ในปี 1979 เขาได้ทำงานในตำแหน่งผู้บริหารที่ฮัมเมอร์พลาสต์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและทำกาแฟแบบแยกกากจากสวีเดน ทำให้มีโอกาสได้รู้จักกับบริษัทจำหน่ายเมล็ดกาแฟเล็กๆ ในซีแอตเติ้ลที่ชื่อว่า “สตาร์บัคส์” ซึ่งเป็นบริษัทที่มาซื้อเครื่องผลิตเอสเปรสโซ่จากฮัมเมอร์พลาสต์ ชูลท์ซเกิดความสนใจและลงทุนบินไปถึงซีแอตเติลเพื่อทำความรู้จักสตาร์บัคส์ ที่นั้นชูลท์ซได้พบกับผู้ก่อตั้งสตาร์บัคส์และทีมงานซึ่งได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นในปี 1971 เพื่อจำหน่ายเมล็ดกาแฟคั่วบดสดใหม่ที่มีคุณภาพ เขาได้เข้าทำงานเป็นลูกจ้างและผู้บริหารของสตาร์บั้คส์จากนั้นมา
ความสำเร็จของเขาเริ่มขึ้นเมื่อเขาลาออกจากสตาร์บัคส์ในปี 1985 เพื่อเปิดร้านกาแฟชื่อ อิล จิออร์นาเล (il Giornale – การเดินทาง) ซึ่งร้านกาแฟของเขาก็ได้รับความนิยมและมีความตั้งใจที่จะขยายสาขา ต่อมาผู้ก่อตั้งสตาร์บัคส์ได้ขายร้านสตาร์บัคส์สาขาแรกในซีแอตเติลให้กับเขา
![](https://readykids.info/wp-content/uploads/2021/04/Stra-1024x570.jpg)
เขาได้รวมร้านนี้เข้ากับร้านของเขาและตั้งชื่อร้านว่า “สตาร์บัคส์คอมฟี่ คัมปานี” ถึงแม้ในช่วงแรกร้านกาแฟที่ขายกาแฟคุณภาพเพียงอย่างเดียวจะยังไม่ได้รับความนิยมมากนักในอเมริกา แต่เขาก็ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอกาแฟสดแบบธรรมดาเคียงคู่ไปกับกาแฟคุณภาพอย่างเช่น เอสเปรสโซ่ คาปูชิโน่ ลาเต้ กาแฟเย็น และม็อคค่าพร้อมๆ กับการสร้างบรรยากาศภายในร้านให้เป็นสถานที่สำหรับสังสรรค์ของกลุ่มเพื่อนและคนที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟ
นี่คือตัวอย่างของลูกจ้างมืออาชีพที่เข้าไปสร้างผลประโยชน์ด้วยแนวคิดที่แน่วแน่จนพิสูจน์ตัวเองในการเข้าควบรวมกิจการและสร้างเป็นแบรนด์ระดับโลกได้ คุณเองก็ทำได้เช่นกันครับถ้ามีทักษะการขาย ความทะเยอทะยานและวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยม
6) Steve Jobs – Founder of Apple
ในขณะที่คุณกำลังอ่านบทความของผมด้วยไอโฟนในตอนนี้ ผมทราบดีว่าไม่มีทางที่คุณจะไม่รู้จักคนให้กำเนิดไอโฟนสุดเทพ นามว่า “สตีฟ จ็อบส์”สตีฟ จ็อบส์ เกิดเป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่ต้องการ ละทิ้งให้ครอบครัวอื่นรับเลี้ยง มีวัยเด็กที่ไม่ถือว่ายากจนมาก แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบาย
เขาเลิกเรียนมหาวิทยาลัยกลางคัน เพราะไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองต้องเรียน เลือกเข้าเรียนวิชาที่ตัวเองชอบเท่านั้น อีกทั้งครอบครัวบุญธรรมยังมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการเรียนได้ตลอดรอดฝั่ง อนาคตด้านการศึกษากระท่อนกระแท่นเมื่อโตขึ้นสู่วัยหนุ่มเขาออกแสวงหาความหมายของชีวิต เดินทางไปยังประเทศอินเดีย ใช้ชีวิตแบบฮิปปี้ รักอิสระ ไม่อาบน้ำ ไม่ใส่รองเท้า เป็นคนที่แปลกแยกออกจากสังคม
![This image has an empty alt attribute; its file name is b8ae03_15648f4f72004cacb8e272508f81bd90-mv2-3.jpg](https://i1.wp.com/www.sales100million.com/wp-content/uploads/2020/07/b8ae03_15648f4f72004cacb8e272508f81bd90-mv2-3.jpg)
มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต เขาร่วมเปิดกิจการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเล็กๆในโรงรถกับเพื่อนสนิท เติบโตต่อขยายจนกลายมาเป็นบริษัท แอปเปิ้ล โดยเขาดำรงตำแหน่งเป็นซีอีโอของบริษัท ขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแต่บริษัทก็ยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่
เขาต้องถูกไล่ออกจากบริษัทของตนเอง โดยคนที่เขาเลือกมาช่วยบริหารงาน แต่ก็ได้กลับมาบริหารแอปเปิ้ลอีกครั้งในช่วงเวลาต่อมา และนำพาบริษัทพลิกจากช่วงตกต่ำขึ้นทะยานสู่จุดสูงสุด พร้อมด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างไอโฟน ทำให้ตัวเขามีสินทรัพย์มหาศาลในที่สุด อย่างไรก็ดีชีวิตคนเรามักไม่แน่นอน เขาเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง ทิ้งแอปเปิ้ลให้กับผู้บริหารคนใหม่อย่าง ทิม คุ๊ก แต่ชื่อของเขาจะเป็นที่จดจำตลอดไปอย่างแน่นอน
7) Ursula Burns – First African-American Xerox CEO
ใครจะเชื่อว่าเครื่องถ่ายเอกสารหรือที่เราเรียกว่าเครื่องซีร็อกส์ (Xerox) จะมีผู้นำระดับซีอีโอที่มีเบื้องหลังชีวิตที่ยากลำบากกว่าคุณมากนัก ในเมื่อภาพลักษณ์ของ CEO ส่วนใหญ่มักมาจากบุคคลที่มีการศึกษาสูง มาจากบ้านที่มีฐานะค่อนข้างดี มีครอบครัวที่อบอุ่น
สุภาพสตรีผิวสีที่ผมเอามาเล่าให้คุณฟังท่านนี้ เธอโตขึ้นในย่านยากจนและอยู่ในเขตอันธพาลแถบแมนฮัตตัน มีชีวิตในวัยเด็กที่ค่อนข้างลำบาก ต้องเจอกับปัญหาการเหยียดสีผิวซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรงและดูหมิ่นความเป็นมนุษย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่เป็นปรจำ คุณแม่ของเธอต้องพยายามหาเลี้ยงชีพเพื่อส่งเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
![](https://readykids.info/wp-content/uploads/2021/04/Ursula-Burns-300x225-1.jpg)
ท้ายที่สุดเมื่อจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เธอได้เข้าทำงานที่บริษัทซีรอกซ์ในตำแหน่งพนักงานฝึกหัด (Trainee) จนได้กลายมาเป็นซีอีโอผิวสีคนแรกของบริษัทซีรอกซ์ (Xerox) ถือเป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกที่ได้บริหารจัดการบริษัทที่ติดอันฟอร์บส์ (Forbes) 500 คนแรกอีกด้วย แสดงว่าเธอคือ 1 ใน 500
ผู้บริหารระดับเทพที่สุดในโลกโดยผลงานชิ้นสำคัญของเธอคือการประคับประคองธุรกิจดั้งเดิมอย่างการผลิตและจำหน่าย “เครื่องถ่ายเอกสาร” ให้ยังคงสามารถอยู่รอดได้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางด้านเทคโนโลยีของโลกยุคปัจจุบัน รวมถึง การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การบุกเบิกธุรกิจแขนงใหม่ๆ เช่น การให้บริการด้านเทคโนโลยีสำนักงานต่อภาคธุรกิจ
![](https://i1.wp.com/www.sales100million.com/wp-content/uploads/2020/07/b8ae03_b77a1f2636264d83b83f3f97e1498e13-mv2-6.jpg)
8) Li Ka-shing – Hong Kong Superman
“ฮ่องกง” ใครจะเชื่อว่าแผ่นดินของจีนที่เล็กกว่าไทยเรานั้นหลายเท่า แทบจะไม่มีทรัพยากรใดๆ เลย กลับกลายเป็นประเทศ (หรือเขตเศรษฐกิจของจีน) ที่เป็นหนึ่งในเขตที่ร่ำรวยที่สุดในทวีปเอเชีย ใครได้ไปเยี่ยมเยียนประเทศนี้บ่อยๆ ก็จะพบกับความซิวิไลซ์ ทันสมัย มีแต่รถสปอร์ตอยู่เต็มไปหมด
หนึ่งในสุดยอดนักธุรกิจของประเทศนี้คือ “ลีกาชิง” เป็นผู้ที่คนฮ่องกงบ่อยครั้งเรียกว่า ซูเปอร์แมนเพราะความเก่งกาจทางธุรกิจของเขาครอบครัวของลีกาชิงอพยพจากจีนมายังฮ่องกงในปี 1940 พ่อของเขาตายตั้งแต่เขาอายุเพียง 15 ปี ทำให้เขาต้องลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยทำงานหาเลี้ยงครอบครัว
ในปี 1950 ลีกาชิงเริ่มทำธุรกิจโรงงานพลาสติก และขยับขยายกลายเป็นโรงงานดอกไม้พลาสติกเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯลีกาชิงเริ่มหันมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และปัจจุบันเขามีธุรกิจที่ครอบคลุมหลากหลาย อาทิ โทรคมนาคม การขนส่ง อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์
9) Larry Ellison – Oracle Corporation CEO
คนคนนี้ ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ หนึ่งในไอดอลของผมเอง ถ้าใครเป็นเด็กไอที ผมเชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จัก Oracle Database (Oracle RDBMS) ผมเองก็เป็นเด็กไอทีคนหนึ่งมาก่อน รู้ซึ้งเลยว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตัวนี้มันเทพมาก ราคาก็แพงมากด้วยเช่นกัน เมื่อก่อนผมใฝ่ฝันว่าซักวันต้องได้ทำงานบริษัทออราเคิล (Oracle) เพราะเป็นบริษัทระดับโลก เป็นนักขายที่นั่นเงินและค่าคอมฯ คงดีมากๆ แน่ๆ เลย (ฮา..)
นี่คือตัวอย่างของบุคคลที่ใช้มันสมองกับประสบการณ์ในการสร้างธุรกิจที่ไม่มีใครเป็นคู่แข่งได้ล้วนๆ และเหมาะสมกับเด็กรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันซึ่งไม่จำเป็นต้องมีฐานะดี ต้นทุนทางสังคมที่สูง ขอเพียงแค่คุณมีไอเดียและลงทุนซื้อคอมพิวเตอร์ถูกๆ ซักเครื่องนึง คุณก็สามารถเขียนโปรแกรมหาเงินได้แล้วครับ ถ้าทำดีเผลอๆ ฟลุ้กรวยได้เลย
![This image has an empty alt attribute; its file name is b8ae03_e01f8f00321941659ec0be69060e5faa-mv2-9.jpg](https://i1.wp.com/www.sales100million.com/wp-content/uploads/2020/07/b8ae03_e01f8f00321941659ec0be69060e5faa-mv2-9.jpg)
แลร์รี เอลลิสัน ถือกำเนิดโดยที่แม่ของเอลลิสันนั้นเป็นชาวยิว ซึ่งขณะนั้นแม่ของเขายังไม่ได้แต่งงาน แต่กลับให้กำเนิดเด็กคนหนึ่งขึ้นมา ในภายหลังด้วยความไม่สะดวกทั้งปวงแม่ของเขาจึงยกให้เอลลิสันอยู่ในการดูแลของลุงกับป้าของเธอที่เมืองชิคาโก ซึ่งเป็นโชคดีของเอลลิสันที่ทั้งสองคนนั้นรักและดูแลเขาเป็นอย่างดี
หลังจากอยู่ในการอุปการะของลุงและป้า เอลลิสันก็เติบโตท่ามกลางสังคมชาวยิว จนกระทั่งเขาได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย ในช่วงนี้เองที่ชีวิตของเอลลิสันสู่จุดหักเหอีกครั้ง เนื่องจากว่ามารดาบุญธรรมของเขาเสียชีวิตลง ทำให้เขาต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย โดยหลังจากที่เขาลาออกจากมหาวิทยาลัยเดิมนี้ เขาได้กลับเข้าไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย University of Chicago ในช่วงเวลา 1 เทอม จากการศึกษาที่นี่เอง ทำให้เขาได้ค้นพบความน่าสนใจเกี่ยวกับการออกแบบทางคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรก แต่ทว่าแลร์รี่ เอลลิสันก็กลับต้องลาออกอีกครั้งเนื่องจากว่าเขาจำเป็นต้องอพยพไปอยู่ที่เมือง Northern California อย่างถาวร
แลร์รี เอลลิสันมาสู่จุดพลิกผันของชีวิตอีกครั้งหนึ่งเมื่อเขาได้ทำงานร่วมกันกับ Amex Corporation โดยที่นี่เองทำให้เขาได้มีโอกาสอยู่ในโปรเจ็คท์ในการพัฒนาฐานข้อมูลของ CIA โดยชื่อของโปรเจ็คท์นี้คือ Oracle (ออราเคิล) จากโครงการนี้ทำให้ชายหนุ่มได้รู้จักกับหนังสือที่มีชื่อว่า A Relational Model of Data for Large Shared Data Banks ซึ่งเป็นผลงานการเขียนของ Edgar f. Codd ซึ่งหนังสือเล่มนี้เองที่ทำให้เขาได้รับแรงบันดาลใจ จนก่อตั้งบริษัทออราเคิลเป็นของตนเอง โดยเอลลิสันนั้นใช้เงินของตนเองเพื่อการลงทุนถึง 1400 ดอลล่าร์
![](https://readykids.info/wp-content/uploads/2021/04/larry-ellison-net-worth.jpg)
แลร์รี่ เอลลิสัน ได้ก่อตั้งบริษัท Relational Software Inc. ในปี 1979 ซึ่ง หลังจากนั้นผลิตภัณฑ์ฐานข้อมูล Oracle ก็กลับได้รับความนิยมขึ้นมา ซึ่งในส่วนนี้เองที่เขาต้องการพัฒนาฐานข้อมูล System R ให้กับ IBM แต่กลับถูกทาง IBM ปฏิเสธ แต่แลร์รี่ เอลลิสันก็ไม่ยอมแพ้ และสุดท้ายเขาก็ได้กลายเป็นเจ้าตลาดของฐานข้อมูลในที่สุดด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพฐานข้อมูลให้ดีมากยิ่งขึ้น
ในช่วงหนึ่งของชีวิต แลร์รี เอลลิสันได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารของบริษัทคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนชื่อดังอย่าง Apple ในช่วงที่สตีฟ จอบส์ กลับมาทำงานที่บริษัท Apple อีกครั้ง แต่ทว่าเขากลับทำงานที่นี่ได้ไม่นาน เนื่องจากว่าเขาคิดว่าเวลาว่างของเขาไม่มากพอร่วมประชุมวาระสำคัญของบริษัทเท่าใดนักปัจจุบันถือว่า แลร์รี่ เอลลิสันได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีฐานะเศรษฐีมากที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก โดยสำนักข่าวของประเทศสหรัฐอเมริกาได้รายงานว่าเขาเป็นผู้บริหารที่มีรายได้มากที่สุดเลยทีเดียว
10) Do Won Chang – Forever 21
ใครที่ชอบซื้อเสื้อผ้าที่ร้านซาร่า (Zara) ร้านท็อปช็อป (Top Shop) ร้านแมงโก้ (Mango) คงไม่มีใครที่ไม่เคยชายตามองร้าน Forever 21 จริงไหมครับ
![Do Won Chang Story](https://img.17qq.com/images/wqsfqpwky.jpeg)
ส่วนตัวของผมเองรู้จักแบรนด์ซาร่าเป็นอย่างดี เจ้าของเป็นคนสเปนที่รวยมากๆ (ไว้มาเล่าให้ฟังครับ) และร้านท็อปช็อปก็เป็นแบรนด์จากประเทศอังกฤษที่เพื่อนผมนิยมกันมาก ตอนนั้นผมจึงฟันธงเลยว่า Forever 21 ทีเป็นสินค้าเกรดเดียวกับสองแบรนด์ข้างต้น ต้องมีเจ้าของเป็นฝรั่งยุโรปหรืออเมริกันแน่ๆ เลย แต่ใครจะเชื่อว่าจริงๆ แล้วเจ้าของเป็นชาวเอเชียเหมือนเรานี่แหละ แถมมาจากความยากจน ลำบากมาก่อนด้วย
เรื่องของคุณ Do Won Chang และ Jin Sook สองสามีภรรยาอพยพมาจากประเทศเกาหลีใต้เพื่อหาอนาคตที่ดีกว่าให้กับครอบครัว ทั้งสองเดินทางมาที่อเมริกาตัวเปล่าแต่เต็มไปด้วยความฝันที่จะก่อร่างสร้างตัวที่นี่
Do Won Chang ไม่มีทางเลือกเรื่องประเภทอาชีพมากนัก ทำให้เขาต้องทำงานพร้อมๆกันถึงสามงาน ได้แก่ ภารโรง, พนักงานในปั๊มน้ำมัน และพนักงานร้านอาหาร เขาทำงานแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพียงเพื่อพอหาเงินมายาไส้และจ่ายค่าเช่าห้องเล็กๆไปวันๆแต่ Do Won Chang และ Jin Sook ไม่ใช่คนย่อท้อต่อโชคชะตา เขาเห็นแล้วว่าการทำงานแบบนี้คงไม่ยั่งยืนเป็นแน่ เขาจึงมองหาลู่ทางใหม่พร้อมกับการฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองไปด้วย พวกเขายากจนเกินกว่าจะเสียเงินไปเรียนภาษา
![Do Won Chang Story](https://img.17qq.com/images/fhhfwmfnswy.jpeg)
เขากับภรรยาเห็นว่าแบบเสื้อผ้าที่อเมริกาดูแตกต่างจากแบบเสื้อผ้าที่เกาหลีมาก และที่อเมริกาก็มีคนเกาหลีรวมถึงคนเอเซียชาติอื่นอพยพมาอาศัยอยู่เยอะ ถ้าเอาแบบเสื้อผ้าแบบแปลกๆที่มีกลิ่นอายความเป็นเอเซียมาขายน่าจะขายได้ดี เขาจึงไปลองสมัครงานร้านเสื้อผ้าเพื่อหาประสบการณ์เผื่อว่าวันนึงเขาจะสามารถเปิดร้านของตัวเองได้สองสามีภรรยาช่วยกันเก็บหอมรอมริบจนในที่สุดก็สามารถเช่าร้านเล็กๆเป็นของตัวเองได้ที่ Highland Park ตั้งชื่อร้านว่า Fashion 21
ด้วยความเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ร้านนี้จึงเติบโตและขยายสาขาอย่างรวดเร็ว ทั้งสองทำงานอย่างหนักเพื่อทำให้แบบเสื้อผ้าของพวกเขาล้ำสมัยและเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่เสมอ ต่อมาเขาเปลี่ยนชื่อร้านเป็น Forever 21 ที่พวกเรารู้จักกันดี
ปัจจุบัน Forever 21 มีร้านอยู่ประมาณ 500 สาขาใน 15 ประเทศรวมถึงประเทศไทยและยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยความประสบความสำเร็จนี้ Do Won Chang และ Jin Sook มีทรัพย์สินรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 170,000 ล้านบาท……