Friday, 29 March 2024

สะเดา ” ต้นไม้ราชาแห่ง พืชสารพัดประโยชน์ที่ทุกครัวเรือนควรมี ช่วยบำรุงสุขภาพของเราให้แข็งแรงได้ดี

หากจะพูดถึง “สะเดา” หลายคนคงจะนึกถึงรสชาติที่สุดแสนจะขมของมัน เป็นพืชสารพัดประโยชน์ที่ทุกครัวเรือนควรมีไว้ ถือเป็นต้นไม้ราชาแห่งยา เพราะทุกส่วนของสะเดาล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งสิ้น นอกจากเป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านที่คนไทยเรานิยมบริโภคกันมาช้านานแล้ว ปัจจุบันยังนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงการเกษตรได้อีกด้วย

ทั้งนี้ สะเดาไทยมี 2 ชนิด คือ สะเดายอดเขียวและสะเดายอดแดง ซึ่งยอดเขียวจะมีความขมน้อยกว่า หรือบางต้นอาจจะขมน้อยจนได้ชื่อว่า สะเดาหวานหรือ สะเดามัน แต่สำหรับยอดแดงจะมีความขมมากกว่า และเกือบทุกส่วนของต้นสะเดาล้วนมีสรรพคุณทางยา เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Azadirachta indica A. Juss. Var. siamensis Veleton. จัดอยู่ในวงศ์ Lythraceae ชื่ออังกฤษ Siamese neem tree.ชื่อท้องถิ่น สะเดา (กลาง) สะเลียม (เหนือ) กะเดา (ใต้) จะตัง (ส่วย)

-ลำต้น เป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 5-10 เมตรใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับใบย่อยรูปใบหอก ขอบใบหยักฟันเลื่อยฐานใบไม่เท่ากัน ใบย่อย กว้างประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร ยาว 3-4.5 เซนติเมตร ยอดอ่อนมีสีน้ำตาลแดง
-ดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่ง จะออกดอกเมื่อใบแก่ร่วงไป กลีบดอกสีขาว มีกลิ่นหอม
-ผล เป็นผลสดรูปรี กลม ใน 1 ผล มี 1 เมล็ด
ขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด ตอนกิ่งปักชำ เติบโตดีในทุกพื้นที่ ชอบความชื้นปานกลาง แสงแดดจัดเต็มวัน

สรรพคุณทางยา : จากข้อมูลของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า สะเดา เป็นผักสมุนไพรพื้นบ้านที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการเต็มเปี่­­­ยม อุดมไปด้วยสารอาหารโปรตีน แร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย นอกจากนี้ ยังพบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายที่จะทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพตามมาได้ เช่น ภาวะความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ ระบบภูมิคุ้มกันลดลง และโรคมะเร็ง เป็นต้น

โดยประโยชน์และสรรพคุณ ใบอ่อน แก้โรคผิวหนัง ปรับสมดุลน้ำเหลือง รักษาแผลพุพอง,ใบแก่ บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร,ก้าน แก้ไข้ บำรุงน้ำดี แก้ร้อนในกระหายน้ำ บำรุงสุขภาพในช่องปาก,ดอก แก้พิษโลหิต บรรเทาอาการเลือดกำเดาไหล แก้ริดสีดวง บรรเทาอาการคันคอ บำรุงธาตุไฟ,ผล บำรุงหัวใจเป็นยาระบาย แก้อาการหัวใจเต้นผิดปกติ,ผลอ่อน ช่วยเจริญอาหาร ฆ่าพยาธิ แก้ริดสีดวง แก้ปัสสาวะขัด, เปลือกต้น เป็นยาขมเจริญอาหาร แก้ไข บิดมูกเลือด แก้ท้องร่วง แก้กษัย หรือ โรคซูบผอมแห้งแรงน้อย ลดเสมหะ แก้อาการท้องเดิน แก้บิด มูกเลือด,แก่น แก้คลื่นไส้ อาเจียน แก้ไข้จับสั่น บำรุงโลหิต บำรุงธาตุไฟ,ราก แก้เสมหะในลำคอ แก้เสมหะที่เกาะแน่นในทรวงอก,ยาง ใช้ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้, กระพี้สะเดา แก้น้ำดีพิการให้คลั่งเพ้อ แก้เพ้อคลั่ง บำรุงน้ำดี และ เมล็ด นำมาสกัดเป็นน้ำมันสะเดาบริสุทธิ์ ใช้บำรุงผิวพรรณและเส้นผม

สะเดาขึ้นชื่อว่าต้นไม้ราชาแห่งยา สามารถช่วยบำรุงสุขภาพของเราให้แข็งแรงได้ เห็นได้จากสรรพคุณ ดังนี้
1.ดีท็อกซ์สารพิษตกค้างในร่างกาย : ใบสะเดาเมื่อนำมาต้มในน้ำร้อน ใช้จิบวันละครั้งจะช่วยให้เลือดสะอาด เป็นการล้างพิษในกระแสเลือด กระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น
2.รักษาโรคผิวหนัง : ในใบและเมล็ดสะเดามีสารเกดูนิน (Gedunin) และ นิมโบลิดี (Nimbolide) ที่มีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา แบคทีเรียและเชื้อไวรัสสูง ดังนั้น จึงสามารถบรรเทาอาการของโรคที่เกิดจากเชื้อรา ไวรัส และแบคทีเรียได้ผลอย่างชะงัดนัก ไม่ว่าจะเป็นเชื้อราตามเท้า เล็บมือ เล็บเท้า กลาก-เกลื้อน หิด เริม แผลจากโรคสะเก็ดเงิน (เชื้อแบคทีเรีย) หัด ลมพิษ ผดผื่นคัน หูด และอีสุกอีใส
3.แก้ไข้มาเลเรีย : สารเคมีกลุ่มลิโมนอยด์ (Limonoids) ได้แก่ สารเกดูนิ และ นิมโบลิดี ในใบและเมล็ดสะเดา สามารถยับยั้งเชื้อฟัลซิปารัม (P.Falciparum) ซึ่งเป็นเชื้อไข้มาลาเรียดื้อยาชนิดหนึ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ­­­
4.โรคไขข้อ : ขอบใบสะเดา เมล็ดสะเดา และเปลือกต้น เป็นส่วนที่นำมาใช้เป็นยารักษาโรคไขข้อได้ โดยช่วยลดอาการปวด และบวมในข้อ ซึ่งอาจนำมาสกัดเป็นน้ำมันใช้ทาในบริเวณที่มีอาการปวดกล้ามเนื้­­­อ ปวดข้อ และอาการปวดหลังช่วงล่าง หรือนำใบมาต้มเป็นน้ำดื่มเพื่อรักษาอาการของโรครูมาตอยด์ โรคเกาต์ โรคกระดูกพรุน

ลดความเสี่ยงการเกิดเนื้องอกและมะเร็ง : มีผลวิจัยบางชิ้นเผยว่า สารพอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharides) และสารลิโมนอยด์ (Limonoids) ที่พบในเปลือก ใบ และผลสะเดา มีคุณสมบัติช่วยลดความเสี่ยงการเกิดเนื้องอก และมะเร็ง โดยไม่ก่อผลข้างเคียงใด ๆ
บรรเทาเบาหวาน : สะเดามีรสขมสามารถรักษาโรคเบาหวานได้ โดยจะยับยั้งการผลิตอินซูลินได้กว่าร้อยละ 50 และยังช่วยปรับสมดุลความอยากอาหารได้อีกด้วย
กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรค : สะเดามีฤทธิ์ดีท็อกซ์สารพิษในกระแสเลือด ทำให้มีปริมาณเลือดดีหมุนเวียนในร่างกายมากขึ้น ลดการติดเชื้อในร่างกาย ต้านโรคหวัดได้ดี
ต้านมะเร็ง : สารพอลิแซ็กคาไรด์ และสารลิโมนอยด์ที่พบมากในผล ใบ และเปลือกของต้นสะเดา มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย ที่อาจพัฒนากลายเป็นเซลล์มะเร็งในเวลาต่อมา
บำรุงหัวใจ : ผลของต้นสะเดา หากนำมาต้ม ใช้จิบอย่างน้อยวันละครั้ง มีคุณสมบัติช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดเป็นปกติขึ้น ปรับสมดุลจังหวะการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ หัวใจจึงแข็งแรงขึ้น

ประโยชน์ด้านอื่นๆ
-เมนูอาหาร : สะเดาน้ำปลาหวาน กับปลาดุกย่าง,สะเดาน้ำปลาหวานกับกุ้งเผา,ยำดอกสะเดา,สะเดาทรงเครื่อง,สะเดาจิ้มน้ำพริกหรือน้ำกะทิ กินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ
นักโภชนาการจากกทม. ฟ้องนศ.ที่คิดค้นวิธีลดน้ำหนัก 100%!ตร. กทมถึงกับงง!
Sponsor
-ลดสิว น้ำมันสะเดาสกัดเย็นบริสุทธิ์ สามารถนำมาบำรุงผิวพรรณได้ เช่น รอยแดง ผื่นคัน สิว รอยสิว และรอยแผลเป็นจากสิว
-รักษารังแคและอาการคันหนังศีรษะ ใช้น้ำต้มใบสะเดาล้างหลังสระผมแล้ว จะช่วยรักษารังแค กำจัดแบคทีเรียบนหนังศีรษะ แก้อาการคัน หนังศีรษะแห้งเป็นขุยได้
-สะเดามีคุณสมบัติยับยั้งเชื้อรา และยังเป็นสารฆ่าแมลงธรรมดาอีกด้วย จึงสามารถลดโรคเรื้อน และเห็บหมัด ในสัตว์เลี้ยง รวมถึงกำจัดเห็บ หมัด เหา โลน มด ไร และยุงได้
-สะเดามีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิเดนท์ ที่จะช่วยฟื้นฟู และชะลอความเสื่อมต่างๆ ของเซลล์จากการถูกทำร้ายของสารอนุมูลอิสระ
-ใบสะเดามีฤทธิ์เย็น ช่วยถอนพิษจากแมลงกัดต่อย ด้วยคุณสมบัติต้านเลือดแข็งตัว ต่อต้านการอักเสบ จึงช่วยลดการติดเชื้อในบาดแผล แผลอักเสบ แผลพุพอง แผลสด แผลเปื่อย
สะเดา ถือเป็นพืชสมุนไพรที่เด่นในเรื่องของการไล่แมลง ทำให้ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีไล่แมลงส่วนใหญ่ต้องมีสะเดาเป็นส่วนประกอบด้วยเสม
กรมวิชาการเกษตร ได้แนะนำวิธีทำสูตรน้ำมันสะเดาไล่แมลง ดังนี้
-นำเมล็ดสะเดาแห้งที่มีทั้งเปลือกหุ้มเมล็ดและเนื้อเมล็ด มาบดให้ละเอียด
-นำผงเมล็ดสะเดาที่บดได้มาหมักกับน้ำในอัตรา 1 กิโลกรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร จากนั้นใส่ไว้ถุงผ้าขาวบาง นำไปแช่ในน้ำนาน 24 ชั่วโมง
-ควรใช้มือบีบถุงตรงส่วนของผงสะเดา เพื่อสารอะซาไดแรคตินที่อยู่ในผงสะเดากระจายตัวออกมาให้มากที่ส­­­ุด เพื่อที่เวลานำไปฉีดแล้วสารจะจับกับใบพืชได้ดีขึ้น
-ก่อนนำน้ำหมักที่ได้ไปฉีดพืช ควรนำมาละลายกับน้ำก่อน โดยใช้น้ำหมัก 3 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 5 ลิตร ฉีดพ่นราดทุก ๆ 3 วัน หรือเว้นช่วงประมาณ 5-7 วัน หรือฉีดพ่นทุกวันจนกว่าการระบาดของแมลงจะลดลง

ข้อควรระวัง :
1.ห้ามใช้กับคนที่มีความดันโลหิตต่ำ เนื่องจากสะเดาจะไปลดความดันให้ต่ำลงมาอีก ทำให้หน้ามืดเป็นลม
2.สะเดามีรสขม จึงเป็นยาเย็น บางคนอาจไม่ถูกกับบาเย็นทำให้ท้องอืดเกิดลมในกระเพาะ
3.ห้ามใช้กับหญิงที่ให้นมบุตร เพราะจะทำให้น้ำนมไม่มี
แหล่งที่มาข้อมูล : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข,ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร ม.เกษตรศาสตร์,กรมวิชาการเกษตร