Saturday, 27 July 2024

ไอเดีย “การปลูกข้าวหรือทำนาในกระถาง สำหรับพื้นที่น้ำน้อย

การปลูกข้าวในกระถางยังเป็นวิธีการที่ง่าย ไม่ต้องไถเตรียมดินเหมือนปลูกในแปลงขนาดใหญ่ ที่สำคัญปีหนึ่งปลูกได้หลายรอบ ทำให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อพื้นที่ของการปลูกข้าวในกระถางสูงกว่าการปลูกในแปลงนากว่าเท่าตัวเลยทีเดียว

“การปลูกข้าวหรือทำนาในกระถาง ก็คือการนำเมล็ดพันธุ์ข้าวหรือกล้าข้าวมาปลูกลงกระถาง คล้ายกับการปลูกไม้ดอกไม้ประดับทั่วไป ซึ่งเป็นวิธีง่าย ๆ ทั้งยังจัดการปัจจัยต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมกับข้าวได้ไม่ยาก ทำให้ทุกสภาพพื้นที่ปลูกข้าวได้ทั้งยังได้ผลผลิตที่ดี ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ให้สำหรับผู้ที่ต้องการปลูกข้าวไว้รับประทานเอง

โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเมือง ที่มีพื้นที่ไม่มากนัก หรือมีพื้นที่เป็นคอนกรีต ดาดฟ้า แม้แต่ระเบียงก็ปลูกได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังรวมถึงผู้ที่อาศัยอยู่ตามชนบทไม่มีที่นาก็สามารถนำวิธีนี้ไปปลูกข้าวไว้รับประทานเองได้ด้วย”
คุณสังคม บอกว่าตัวเองได้ทดลองปลูกข้าวไรซ์เบอร์รีลงในกระถางขนาดกว้างประมาณ 12 นิ้ว จำนวน 1,600 กระถาง ใช้พื้นที่สำหรับวางประมาณ 4 กระถาง / ตารงเมตร รวมใช้พื้นที่เฉพาะใช้วางกระถางประมาณ 400 ตารางเมตร หรือประมาณ 1 งาน ซึ่งได้ผลผลิตต่อรวงอยู่ที่ประมาณ 300 เมล็ด / รวง หรือกระถางละ 0.8-1 กิโลกรัม ผลผลิตรวมที่ได้ทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1,400 กิโลกรัม ถือว่าเป็นผลผลิตที่สูงมากเมื่อเทียบกับขนาดของพื้นที่ที่ใช้ปลูก และใน 1 ปี สามารถปลูกได้ถึง 3 ครั้ง ซึ่งจะได้ผลผลิตรวมมากถึง 4,200 กิโลกรัมเลยทีเดียว

วิธีการทำนาในกระถาง เริ่มจากการเตรียมกระถางที่นำมาใช้ปลูก ซึ่งใช้กระถางพลาสติกปากกว้างประมาณ 12 นิ้ว ราคาอยู่ที่ใบละ 10 บาท เกษตรกรอาจใช้ภาชะอื่นอย่างเช่ง ถัง กะละมัง หรือวัสดุเหลือใช้ที่มีขนาดพอเหมาะไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป มาใช้แทนกระถางก็ได้ ซึ่งก็ช่วยให้ต้นทุนการปลูกข้าวในกระถางลดลง แต่ทว่าจัดการได้ค่อนข้างยากถ้าหากปลูกจำนวนมาก ๆ
ดินที่นำมาใช้ปลูก ก็ใช้ดินจากพื้นนา แล้วนำมาคลุกเคล้ากับส่วนผสมที่เป็นปุ๋ยอินทรีย์และน้ำหมักจุลินทรีย์ (EM) ก็ทำให้ได้ดินที่เหมาะสมกับการใช้ปลูกข้าวในกระถาง ทั้งนี้การใช้น้ำหมักจุลินทรีย์ผสมกับดินปลูก นอกจากช่วยเพิ่มธาตุอาหารให้กับต้นข้าวใช้ในการเจริญเติบโตแล้ว ยังช่วยกำจัดวัชพืชอย่าง ตะไคร่ เครือเถาล์ และหญ้าต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในกระถางปลูกได้ด้วย เนื่องจากน้ำหมักจุลินทรีย์ช่วยป้องกันไม่ให้แสงส่องทะลุถึงผิวดินในกระถาง เมื่อวัชพืชไม่ได้รับแสงจึงไม่มีแหล่งพลังงานจึงเจริญเติบโตไม่ได้

จากนั้นก็ต่อท่อเล็ก ๆ ไว้ที่บริเวณปากกระถางทุกใบสำหรับให้น้ำ ซึ่งก็คล้าย ๆ กับระบบการให้น้ำของพืชทั่วไป ซึ่งช่วยให้การจัดการการให้น้ำทำได้ง่าย หรืออาจใช้วิธีการขุดพื้นให้เป็นร่องลึกประมาณ 1 เมตร และกว้างพอให้พอวางกระถางได้ ซึ่งให้น้ำโดยการปล่อยเข้าไปในร่องจนท่วมกระถาง

การให้น้ำแบบนี้อาจเหมือนการให้น้ำในนาข้าวทั่วไป แต่ทว่ารากข้าวที่อยู่เฉพาะในกระถางก็ทำให้การใส่ปุ๋ยและการดูแลต้นข้าวง่ายและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้บริเวณสันร่องยังใช้ปลูกพืชชนิดอื่น ๆ ได้ เป็นการทำการเกษตรแบบผสมผสาน และไม่ต้องกังวลว่าพืชที่ปลูกนั้นจะมาแย่งธาตุอาหารของต้นข้าวด้วย


“ก่อนเริ่มปลูกข้าว เราให้น้ำจนเต็มกระถาง แต่ก่อนที่เริ่มปลูกควรรอให้ตะไคร่ในกระถางตายให้หมดเสียก่อนถึงนำข้าวมาปลูกลง กระถางได้ ส่วนข้าวที่นำมาปลูกสามารถทำได้สองรูปแบบคือ นำเมล็ดข้าวเปลือกที่แช่น้ำพร้อมงอกแล้วมาปลูกในกระถาง
โดยทำหลุมปลูกในกระถางจำนวน 3 หลุม ห่างกันพอประมาณ แต่ละหลุ่มใช้เมล็ดพันธุ์จำนวน 3 เมล็ด หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือ เพาะกล้าในถาดเพาะเสียก่อน โดยใช้เมล็ดพันธุ์จำนวน 3 เมล็ด / หลุม เมื่อต้นกล้าอายุได้ประมาณ 10-15 วัน ก็ย้ายมาปลูกในกระถาง จำนวน 3 ต้น / กระถางเช่นกัน”

การจัดการดูแลหลังการปลูก ก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างจากการปลูกในแปลงนามากนัก มีการเพิ่มธาตุอาหารให้กับต้นข้าวโดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดเม็ด ทยอยให้ครั้งละน้อย ๆ โดยดูจากความสมบูรณ์ของต้นและใบ เช่นใบข้าวมีอาการขาดสารอาหาร ใบเหลืองก็เสริมปุ๋ยอินทรีย์เข้าไป

ซึ่งตลอดช่วงการปลูกไปจนถึงเก็บเกี่ยวผลผลิต เฉลี่ยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ประมาณ 1 กำมือต่อกระถาง ระหว่างนี้หากพบวัชพืชขึ้นในกระถางก็กำจัดหรือถอนออก เมื่อครบกำหนดข้าวตั้งท้อง ออกร่วงและให้ผลผลิต ซึ่งการเก็บเกี่ยวผลผลิตทำได้โดยการเกี่ยวเหมือนข้าวทั่วไป แต่จะง่ายกว่าเนื่องจากข้าวแยกกออยู่ในกระถาง ทำให้เข้าถึงได้ง่าย
คุณสังคม บอกว่าพื้นที่ 1 งาน เมื่อรวมทางเดินด้วย สามารถปลูกข้าวได้ 800 กระถาง พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ประมาณ 3,200 กระถาง จากการทดลองปลูก 1 กระถางได้ผลผลิตประมาณ 0.8-1 กิโลกรัม ดังนั้นพื้นที่ 1 ไร่ ของการทำนาในกระถางจะได้ผลผลิตประมาณ 2,500-3,200 กิโลกรัม ซึ่ง 1 ปี สามารถปลูกได้ถึง 3 รอบ ดังนั้นพื้นที่ 1 ไร่ ได้ผลผลิตข้าวทั้งหมดสูงสุดถึง 9 ตันเลยทีเดียว ซึ่งถือเป็นปริมาณที่สูงมาก

แต่สำหรับการปลูกไว้รับประทาน โดยเฉลี่ย 1 คน จะบริโภคข้าวประมาณ 100 กิโลกรัม / ปี ครอบครัวที่มีสมาชิกอยู่ 3 คน ถ้าปลูกข้าวในกระถางที่มีผลผลิตเฉลี่ย 0.9 กิโลกรัม ต้องปลูกไว้ประมาณ 350 กระถาง ซึ่งใช้พื้นที่ปลูกประมาณ 90 ตารางวา หรือ กว้าง 9 เมตร ความยาว 10 เมตร ทำให้ได้ผลผลิตที่ 300 กิโลกรัม
ซึ่งก็เพียงพอกับความต้องการบริโภคของทุกคนในครัวเรือนแล้ว แต่ถ้าพื้นที่มีจำกัดจริง ๆ ก็ใช้วิธีการปลูก 3 ครั้ง / ปี ซึ่งใช้พื้นที่ในการปลูกเพียง 1 ใน 3 หรือประมาณ 30 ตารางเมตร ซึ่งใช้พื้นที่กว้าง 5 เมตร ยาว 6 เมตร เท่านั้น ไม่ว่าเป็นบนดาดฟ้าหรือหน้าบ้าน ก็สามารถใช้เป็นพื้นที่ปลูกข้าวไว้รับประทานได้ทั้งหมด

“การทำนาในกระถาง อาจมีต้นทุนที่สูงในครั้งแรก ในส่วนของค่ากระถางและการวางระบบน้ำ แต่ถ้าดูจากปริมาณของผลผลิตที่ได้ ถือว่าคุ้มค่าอย่างมาก อีกทั้งไม่ต้องเสียเวลาในการไถเตรียมแปลง ทำให้ต่อปีสามารถปลูกข้าวได้ถึง 3 ครั้ง และยังควบคุมปัจจัยต่าง ๆ เช่นการให้ปุ๋ยและน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ได้ผลผลิตค่อนข้างสูง
รวมถึงไม่ต้องเสี่ยงกับปัญหาภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะปัญหาน้ำแล้งที่เกษตรกรประสบอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการทำนาในกระถางยังต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมว่าเหมาะสมกับการทำเป็นแปลงขนาดใหญ่หรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ เวลานี้ ทุกคนสามารถปลูกข้าวในกระถางไว้รับประทานเองได้อย่างแน่นอน”

เรียบเรียงโดย เกษตรก้าวหน้า