Saturday, 27 July 2024

ไม้เต็งหรือไม้จิก ไม้ที่มีเนื้อแข็งมาก ลายแก้มแดงสวยงาม เป็นที่ต้องการมากในท้องตลาด

ต้นเต็ง จัดเป็นต้นไม้กลุ่มใหญ่ในป่าเต็งรังสามารถเจริญเติบโตได้ดี ในดินลูกรังหรือดินหินทราย พบโดยทั่วไปในภาคเหนือภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ความสูงระดับน้ำทะเล 1,300 เมตร นอกจากจะพบในประเทศไทยของเราแล้วยังสามารถพบได้ในประเทศเพื่อนบ้านได้แก่ ประเทศพม่า และภูมิภาคอินโดจีน ต้นเต็งเป็นอีกหนึ่งชนิดไม้ที่มีความแข็งแรงทนทานสามารถนำมาแปรรูปทำเครื่องไม้ เครื่องมือ หรือใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ ตลอดจนใช้ประโยชน์ในการสร้างบ้าน ซึ่งในวันนี้ เราก็มีสาระที่น่ารู้พร้อมข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับต้นเต็งมาฝาก จะน่าสนใจแค่ไหน ตามไปชมพร้อมๆ กันเลย

ต้นเต็ง จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง โดยเป็นต้นไม้ผลัดใบ ลำต้นเปลาตรง ซึ่งมักจะคดงอไม่ค่อยตรงนัก โดยมีความสูงประมาณ 10-25 เมตร และมีเรือนยอดเป็นทรงพุ่มกว้าง เปลือกของลำต้นเป็นสีน้ำตาลเทา ตกสะเก็ดหรือแตกเป็นร่อง โดยเปลือกของลำต้นด้านในจะเป็นสีน้ำตาลแกมเหลือง กระพี้มีสีน้ำตาลอ่อนและแก่นมีสีน้ำตาลเข้ม

ใบของต้นเต็ง มีลักษณะเป็นใบเดี่ยว โดยจะออกเรียงสลับกัน ลักษณะใบมีรูปขอบขนานหรือรูปทรงรี แกมรูปขอบขนานคล้ายรูปไข่ โคนใบมนหรือทู่ ส่วนปลายใบอาจมนหรือแหลม โดยใบมีความกว้างประมาณ 5-7 เซนติเมตรและยาว 10-16 เซนติเมตร ใบมีสีเขียวอมเหลือง เนื้อใบหนาผิวใบสาก โดยมีขนขึ้นอยู่ประปรายเส้นแขนงมีประมาณ 15-20 คู่ ก้านใบยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ใบแก่จะมีสีเหลือง สีส้ม หรือสีแดง ซึ่งจะร่วงหล่นลงสู่พื้น

ดอกของต้นเต็งรัง มีลักษณะการออกดอกเป็นช่อแยกแขนง ที่บริเวณปลายกิ่งหรือตามง่ามใบ ช่อของดอกจะมีขนนุ่ม โดยดอกมีขนาดเล็กสีขาวนวล กลีบดอกและกลีบรองดอกมีอย่างละ 5 กลีบ กลีบดอกเป็นสีขาวแกมเหลืองอ่อน กลิ่นหอมปลายกลีบแยกออกจากกัน ส่วนโคนกลีบดอกซ้อนทับกัน ที่บริเวณปลายกลีบจะจีบเวียนตามกันคล้ายกับรูปกังหัน ส่วนกลีบเลี้ยงที่โคนเชื่อมติดกันนั้น แยกออกเป็น 5 แฉก เกสรตัวผู้มีขนาดเล็กและมีจำนวนมากประมาณ 20-25 อัน ซึ่งจะอยู่รอบเกสรตัวเมีย อับเรณูมีขนสั้น รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ ในส่วนเกสรเพศเมียจะมีพู 3 พู ก้านดอกค่อนข้างสั้น ดอกของเต็งรังจะออกช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม

ผลของต้นเต็งรัง มีลักษณะเป็นรูปทรงไข่หรือรูปกลมรี โดยมีความกว้างประมาณ 0.8 เซนติเมตรและยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ผลจะมีปีกสั้น 2 ปีก ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตรและปีกยาวมี 3 ปีก ลักษณะคล้ายรูปหอกกลับ โดยมีขนาดความกว้างประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร และยาว 4-6 เซนติเมตร ภายในผลประกอบด้วยเมล็ด 1 เมล็ด โดยผลจะแก่ในช่วงประมาณเดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคม

ประโยชน์ของต้นเต็ง ไม้เต็ง มีเนื้อสีน้ำตาลอ่อนหรือสีน้ำตาลแก้มแดง ซึ่งเป็นสีสันที่สวยงามและมีความแข็งแรงทนทานดี จึงสามารถนำมาใช้ในงานก่อสร้าง เช่น ทำเสาบ้าน รอด ตรง คาน กระดาน พื้น ฯลฯนอกจากนั้นยังนิยมนำมาใช้ในการทำเป็นเฟอร์นิเจอร์หรือแปรรูปเป็นสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ อย่างไรก็ตาม ไม้เต็งมีสถานะเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. การลักลอบเข้าไปตัดไม้ทำ ล า ยป่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ในขณะเดียวกันผู้ที่มีต้นเต็งไว้ครอบครองก็จะต้องมีใบอนุญาตในการโค่นหรือตัดชันยางที่ได้จากต้นเต็ง สามารถใช้ผสมน้ำมัน ทาไม้ หรือใช้ยาแนวเรือ ตลอดจนใช้ยาแนวเครื่องใช้ต่างๆ ได้สามารถนำไม้เต็งไปใช้เป็นเชื้อเพลิง ก่อไฟ หุงหาอาหาร โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองหรือผ่านการทดสอบมาแล้วว่าเนื้อไม้เต็งนั้นสามารถให้พลังงานความร้อนที่สูง

สรรพคุณของต้นเต็ง
ต้นเต็งมีสรรพคุณเป็นย าส มุ นไ พ ร โดยเปลือกของต้นสามารถใช้เป็นยาสมานแผล รักษาแผลเรื้อรัง แผลพุพองหรือห้ามเลือดได้ วิธีการ คือ การนำเอาเนื้อไม้หรือเปลือกต้นมาฝนผสมกับน้ำปูนใส แล้วใช้สำลีชุบทาไปที่บริเวณแผล นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยที่ระบุว่าหากใช้ต้นหรือเปลือกของต้นเต็งมาฝนกับน้ำปูนใสยังสามารถใช้เป็นยาฝาด สมานห้ามเ ลื o ด และแก้น้ำเหลืองเสี ยได้ไม้เต็งจัดเป็นไม้ที่อยู่ในวงศ์เดียวกับไม้ยางนาและไม้เต็ง มีชื่อเรียกเป็นภาษาอีสานว่า “ไม้จิก” และมีชื่อสามัญเรียกว่า Burmese sal หรือ Siamese sal คำว่า Burmese หมายถึง เมียนมา ส่วนคำว่า Siamese หมายถึงประเทศสยามหรือประเทศไทยของเรานั่นเองเนื่องจากต้นเต็งพืชชนิดนี้พบที่ประเทศพม่าและประเทศไทยเป็นครั้งแรก จึงถูกตั้งชื่อตามสถานที่ที่พบ ส่วนคำว่า sal นั้นเป็นการใช้กับชื่อของต้นไม้ของคนสมัยก่อน จริงๆ แล้วคำนี้ ก็คือ salt หรือ sal หมายถึง เกลือ ดังนั้น การใช้ sal กับชื่อต้นไม้ของคนในสมัยก่อน เพราะว่าไม้ชนิดนี้ เมื่อนำไปเผาแล้วจะได้ถ่านที่มีสีขาวคล้ายกับเกลือนั่นเอง

ดอกต้นเต็ง
สำหรับวิธีการปลูกหรือการขยายพันธุ์นั้น สามารถทำได้ด้วยวิธีการปักชำ ตอนกิ่ง และการเพาะเมล็ดแต่จะนิยมใช้วิธีการเพาะเมล็ดมากที่สุด เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่าย ด้วยการเลือกเมล็ดพั น ธุ์ที่มีความสมบูรณ์เพื่อให้มีอัตราการรอดตายที่สูง อย่างไรก็ตาม ต้นเต็งมีอัตราการเจริญเติบโตที่ช้า หากต้องการนำเนื้อไม้มาแปรรูปใช้ในงานก่อสร้าง อาจจะต้องใช้ระยะเวลาการปลูกที่มากถึง 30-50 ปีเลยทีเดียวหลังจากที่เก็บเมล็ดแก่ ที่ร่วงหล่นลงมาจากต้นเต็งแล้วให้ทำการตัดปีกออกโดยให้เหลือเพียงแค่เมล็ดไว้เท่านั้น เสร็จแล้วให้นำเมล็ดไปแช่น้ำทิ้งไว้เป็นระยะเวลาหนึ่งคืน

หลังจากนั้นให้นำเมล็ดไปบ่มไว้ในถุงพลาสติก ปิดถุงพลาสติกให้แน่นทิ้งไว้ 5 วัน การบ่มเมล็ดของต้นเต็งจะต้องผสมขุยมะพร้าวลงไปในถุงพลาสติกด้วย หลังจากระยะเวลา 5 วันผ่านไป เมล็ดของต้นเต็งจะงอกรากหรือแทงรากออกมาให้เห็น โดยให้คัดเฉพาะเมล็ดที่มีรากยาวออกมามากที่สุด เพื่อนำไปเพาะในถุงเพาะชำต่อไป ส่วนวิธีการเพาะชำลงถุงนั้น ให้นำในส่วนของรากลงไปใต้ผิวดิน ส่วนเมล็ดจะอยู่เหนือผิวดิน เพราะหากเมล็ดจมลงไปในดินจะทำให้เมล็ดเกิดการเน่าได้ หลังจากที่เพาะในถุงเพาะชำแล้ว เมื่อระยะเวลาผ่านไป 1 เดือน ต้นเต็งก็จะเริ่มเจริญเติบโตขึ้น โดยมีความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร หรืออาจมีใบที่งอกออกมาประมาณ 3-4 ใบ สามารถที่จะย้ายลงแปลงปลูกได้ในลำดับต่อไป

ต้นเต็งเป็นต้นไม้ที่สามารถทนทานต่อสภาพอากาศได้ดี และสามารถเจริญเติบโตขึ้นได้ในดินทุกสภาพ ไม่ว่าจะเป็นดินลูกรัง หรือดินที่มีความแห้งแล้ง แต่ข้อเสียก็คือ อาจต้องใช้ระยะเวลานานกว่าที่จะสามารถใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้ได้ ในปัจจุบันต้นเต็งสำหรับในประเทศไทยของเรากำลังจะสู ญ พั น ธุ์ไปในที่สุดเนื่องจากถูกบุกรุกลักลอบตัดไม้ทำลายป่า และหาชมได้ยากมาก โดยทั่วไปแล้วจะปลุกให้เห็นตามปั๊มน้ำมันหรือสถานที่ราชการต่างๆ เท่านั้นหรืออาจพบได้บางส่วนตามหัวไร่ปลายนาต่างๆ ซึ่งหากพื้นที่ไร่สวนของใครมีต้นเต็งที่กำลังเจริญเติบโตก็อาจจะต้องดูแลรักษาให้ดี เพราะอย่างที่บอกว่าต้นเต็งในปัจจุบันนั้น กำลังจะสู ญพั น ธุ์ไป และสามารถหาชมได้ค่อนข้างยากมากทำให้ต้นเต็งกลายเป็นไม้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและมีราคาสูงเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน

สำหรับราคาต้นเต็ง หรือต้นจิก ในปัจจุบันหากใครที่ไม่สะดวกในการเพาะหรือการขย ายพั น ธุ์ด้วยตนเอง สามารถหาซื้อต้นกล้าของต้นเต็งหรือต้นจิกได้จากร้านจำหน่ายพั น ธุ์ไม้ทั่วไปโดยต้นกล้าของต้นเต็งหรือต้นจิกนั้น หากมีความสูงประมาณ 10 เซนติเมตรจะมีราคาประมาณต้นละ 50-100 บาท ซึ่งมีราคาไม่แพงมาก ต่างจากเนื้อไม้ ที่มีราคาสูงมาก อาจสูงถึงหลักหมื่น หรือหลักแสน ยิ่งต้นเต็งมีอายุที่ยืนยาวมากเท่าไหร่ ราคาเนื้อไม้ก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย

แหล่งที่มา https://biodiversity.forest.go.th