Saturday, 27 July 2024

‘ดร.ปรีชา เรืองจันทร์’ต้นแบบผู้นำ จากเด็กเลี้ยงควายไถนา สู่ผู้ว่าฯ ใช้ชีวิตพอเพียง

วันนี้แอด จะพาทุกคนไปย้อนเวลาไปดูชีวิตของท่านผู้ว่าตงฉินที่มีชื่อว่า ด ร. ป รี ช า เ รื อ ง จั น ท ร์ ซึ่งเป็นอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดมาหลายจังหวัด โดยหลังจากที่เกษียณอายุราชการแล้วก็หันหลังกลับเข้าสู่วิถีชีวิตดั้งเดิม

นั่นก็คือวิถีชีวิตแบบชาวเกษตรกรและ เดินตามรอยเบื้องยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งในสมัยเด็กของผู้ว่านั้นเป็นเพียงแค่

เด็กบ้านนอกที่เกิดในบ้านหลังกอไผ่อำเภอบางมูลนากจังหวัดพิจิตรโดยตระกูลของเขานั้นเป็นตระกูลชาวนาไม่เคยมีใครนั้นรับราชการเลยสักคนเดินในตอนนั้นตัวเขาก็เรียนอยู่ในโรงเรียนวัดทั้งโรงเรียนก็มีครูอยู่คนเดียวพ่อก็มีหลังคาโล่งนั่งพื้นไม่มีเก้าอี้แต่อย่างใดเด็กก็เรียนแบบตามมีตามเกิดเท่านั้น ซึ่งการศึกษาของข้าวในสมัยเด็กน้อยไม่ได้แบ่งตามห้องอย่างเช่น

ปัจจุบันและเครื่องมือการสอนและมีแค่กระดาษฉนวนนั่งเรียนอยู่กับพื้นทั้งโรงเรียนมีนักเรียนอยู่ที่ประมาณ 2 ถึง 300 คนและมีการสลับการเรียนแต่พอเข้าปอ 4 ก็เริ่มมีสมุดใช้โดยคุณปรีชาได้เปิดเผยว่า ผมเป็นคนเรียนเก่ง ได้รับความไว้วางใจจากครู ได้เกรด 4 ตลอด เมื่อขึ้นชั้น ป.2 คุณครูก็ให้ไปเป็นผู้ช่วยสอน ป.1 ขึ้นชั้น ป.3 ก็มาช่วยสอน ป.1-ป.2 ครูจะบอกว่า “เอ้า…เด็กชายปรีชามาช่วยครูสอนหน่อยสิ เราเป็นเด็กไม่คิดอะไร

นอกจากสอนหนังสือแล้ว ก็ยังต้องคอยคุมให้เป็นระเบียบเรียบร้อยด้วย แล้วหลังจากที่เขาเรียนจบชั้นปอ 4 ได้ไปไถนาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายซึ่งในตอนนั้นก็มีคนแนะนำว่าไอ้นี่มันชอบอ่านหนังสือที่กรุงเทพฯมีเรียนสอบเทียบโดยในตอนนั้นตัวเขาก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะฐานะทางบ้านมันค่อนข้างยากจนโดยการทำนาปรังกับนาปีที่บ้านก็มีแต่หนี้กะหนี้ได้เงินมาเท่าไหร่ก็ใช้หนี้เสียหมด

และในบางครั้งที่ต้องออกไปจับจ่ายก็ต้องใช้วิธีการเดินทางเท่านั้นในตลาดจากบ้านนั้นห่างออกไปประมาณ 15 กิโล ถ้าหากรวมระยะการเดินทางไปกลับและเราก็จะอยู่ที่ 30 กิโลซึ่งเป็นการเดินทางที่ดูทั้งนั้นทั้งคนทั้งรัฐทุ่งรัฐหนองกันโดยในสมัยก่อนนั้นยังไม่มีถนนกว่าจะมีถนนก็ตอนที่ตัวเองนั้นเป็นปลัดอำเภอแล้ว แต่ละสุดท้ายวันหนึ่งเขาก็วัดดวงของตัวเองเข้าสู่กรุงเทพและเรียนกศนสามารถต่อสอบติดจุฬาได้เป็นที่สำเร็จและหาเงิน

โดยการล้างชามและทำอาชีพนักร้องจึงได้รับฉายาว่า “ไอ้รุ่ง พระลอ” ก่อนเริ่มอาชีพราชการ ตัวนี้ตอนแรกก็จบมศ. 3 จากนั้นก็จบมศ. 5 โดยใช้เวลาเพียงแค่ 15 เดือนก็สามารถนำผ่านมาได้ 5 ระดับชั้นตอนแรกนึกว่าจะเลิกแต่ถ้าเรียนไม่จบก็ทำงานไม่ได้จนกระทั่งได้มีโอกาสและสอบ Entrance จนสามารถสอบติดมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ได้เป็นที่สำเร็จและได้ระหว่างเรียนก็ทำงานหาเงินไปด้วยแต่ก็ไม่ทำเป็นหลักเป็นแหล่ง

ซึ่งที่ไหนมีให้ทำก็ทำบางครั้งก็เล่นดนตรีเพื่อหารายได้ เมื่อจบคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยจุฬาก็ได้ไปสอบข้าราชการตามปกติหลังจากที่ 2 เขาก็สามารถสอบสิทธิ์และได้เข้ามาทำงานในหน้าที่เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผนของกระทรวงมหาดไทยและทำอยู่ตรงนี้ได้ประมาณ 8-9 ปีจนกระทั่งมีโอกาสได้มาสอบเป็นปลัดอำเภอจนกระทั่งแต่ต้องมาเป็นรองผู้ว่าและกระทั่งและเป็นผู้ว่าในหลายจังหวัด

โดยดร.ปรีชา สามารถเรียนจบปริญญาตรี พ.ศ. 2518 รัฐศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท พ.ศ. 2522 รัฐศาสตร์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ปริญญาเอก พ.ศ. 2548 Doctor of Organization and Transformation (DODT), CEBU Doctors University, Philippines

ซึ่งตัวเขานั้นไม่เคยฝันถึงอาชีพข้าราชการเลยเพราะตอนนั้นตัวเขาคิดว่าอยู่บ้านนอกคอกนาไม่คิดว่าจะมีโอกาสที่ได้ทำอาชีพดังนี้ โดยตัวเขาก็ยังได้เล่าอีกว่าตอนที่ทำข้าราชการนั้นตัวเขาก็เจออุปสรรคต่างๆมากมายทั้งปัญหามากมายซึ่งชีวิตของข้าราชการนั้นจะต้องมีความแข็งแรงและความอดทนพอควรตอนที่ไปเป็นปลัดอำเภออยู่นั้นก็ไปดูเรื่องที่ดินสาธารณะเป็นหมื่นๆที่จังหวัดนครสวรรค์ซึ่งเมื่อก่อนนั้นมีการบุกรุกที่กัน

โดยท่านก็ตามไปจับติดคุกบ้างและยึดบ้านโดยทำแบบตรงไปตรงมาตามนโยบายกฎหมายและดุลพินิจตามหลักเกณฑ์ ชีวิตนี้โดนข่มขู่เอาชีวิตมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งเราก็รู้ว่าเขาขู่ แต่บางครั้งก็เหมือนลงมือจริง เช่น มีคนขับรถตามมาแล้วพยายามเบียดให้ตกถนน หรือสภาพรถมีปัญหา เราไม่อยากพูดว่าเป็นการลอบทำร้ายเพราะไม่มั่นใจ หากพูดไปลูกน้องเราจะเสียขวัญ เสียสมาธิ จึงได้แต่กำชับลูกน้องว่าวันหลังให้ระวังหน่อยนะ

ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้ เจอตั้งแต่เป็นปลัดอำเภอ นายอำเภอ รองผู้ว่าฯ เป็นผู้ว่าราชการแล้วก็ยังเจอแบบนี้ 2 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ ป่าไม้ และการปราบปรามยาเสพติด” โดยทางดร.ปรีชา สิ่งที่ทำให้เขาแคล้วคลาดจากภัยนั่นก็คือความจริงใจและความตรงไปคนตรงหน้าของเขาอีกทั้งการที่เขานั้นชอบทำบุญจะทำให้มีบุญมากและชอบช่วยเหลือผู้อื่น

โดยไม่คิดจะหวังผลตอบแทนและหลังจากที่ผู้ว่ารายนี้นั้นได้ออกจากข้าราชการก็ได้ใช้ชีวิตโดยยึดอาชีพเป็นเกษตรกรเพื่อหาความสุขในช่วงบั้นปลายชีวิตและใครหลายคนก็ต่างต้องงงเพราะว่ามีข้าราชการระดับสูงหลายคนนั้นไม่เคยมีใครเกษียณข้าราชการแล้วมาทำเกษตรยกเว้นคนๆนี้

ซึ่งตัวเขาเองก็ได้บอกว่าตัวเขาเป็นลูกชาวนาก็แค่กลับมาทำนาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรโดย ตอนนี้เขาจะใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาสองคนช่วยดูแลที่ดินประมาณ 20 ไร่ซึ่งที่ดินของเขาก็แบ่งออกเป็น 4 โซนนั่นก็คือ

  1. ป่าปล่อย ในหลวงสอนว่าไม่ต้องทำอะไร ปล่อยเฉยๆ ก็เป็นป่ามีต้นหวาย เห็ดโคน
  2. ป่าปลูก เช่น ปลูกไม้สัก ไม้ยาง ไม้ชิงชัน
  3. ปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ชอบพวกไม้หอม ดอกลำดวน ดอกไม้อื่นๆ
  4. ปลูกไม้กินได้ กล้วยหอม กล้วยไข่ ส้ม ฝรั่ง มะละกอ ฯลฯ

ดร.ปรีชา บอกว่า “ การทำอาชีพเกษตร ห้ามคิดรวย ถ้าคิดก็จนตั้งแต่แรกคิดแล้ว ที่เราทำ เ ร า ยึ ด ห ลั ก “ ค ว า ม สุ ข ” ค ว า ม สุ ข ข อ ง ผ ม คื อ แ บ บ นี้ ทำแล้วไม่เดือดร้อนใคร ไม่เดือดร้อนครอบครัว ไม่เดือดร้อนสังคม ไม่เดือดร้อนประเทศชาติ ได้ทำสิ่งที่รักก็มีความสุขแล้ว” ดร.ปรีชา กล่าวทิ้งท้าย… โดยดร. พิชายก็ได้มีการเปิดเผยว่าชีวิตของเขาจะใช้หลักการเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งจะต้องสำรวจตัวเองว่าตัวเองนั้นถนัดอะไรและใจรักอะไรแต่ชอบอะไรซึ่งหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั้นจะทำได้จริงหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเราและ หลักเศรษฐกิจพอเพียงนั้นจริงๆก็คือการลงมือทำและการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง


1. ทำอะไรที่ตัวเราไม่เดือดร้อนก็ทำไป
2. ทำในสิ่งที่ครอบครัวเราไม่เดือดร้อนก็ทำไป
3. ทำที่คนข้างเคียงไม่เดือดร้อนก็ทำไป และ
4. สังคมไม่เดือดร้อนก็ทำไป คนที่ไม่ทำไม่ผิด เราลงมือทำ ทำผิดไม่ดีก็แก้ไข ความสำเร็จต้องลงทำ ความรู้อย่างเดียวไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าจะประสบความสำเร็จ ความมุ่งมั่น ตั้งใจและลงมือทำคือสิ่งที่จะบ่งบอกได้

เรียบเรียงโดย เกษตรก้าวหน้า